สอนมือใหม่ วิธีการขับรถเกียร์ออโต้ให้เข้าใจง่ายๆ

การขับรถคุณจะต้องใช้สติและตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เมื่อใดที่ขึ้นรถจับพวงมาลัยคุณต้องมั่นใจว่าระบบต่างๆภายในห้องโดยสารที่เกี่ยวข้องหรือเราจะต้องใช้มันบ่อยๆในการขับรถคุณสามารถใช้มันได้อย่างชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นไฟเลี้ยว พวงมาลัย การใช้ที่ปัดน้ำฝน การดึงเบรคมือ การเหยียบเบรคและคันเร่ง และที่สำคัญเลยก็คือการใช้เกียร์รถยนต์ให้ชำนาญโดยไม่มีการหลงลืมใช้มันผิดตำแหน่ง

รถยนต์ที่เราใช้กันในปัจจุบันจะมีระบบเกียร์ 2 ประเภทหลักๆ คือ เกียร์กระปุกหรือเกียร์ธรรมดา และเกียร์อัตโนมัติหรือเกียร์ออโต้ซึ่งจะกล่าวถึงในบทความนี้ ซึ่งก่อนที่จะไปเรียนรู้วิธีการขับรถเกียร์ออโต้ เรามาเรียนรู้กันก่อนว่าเกียร์ออโต้มีกี่ประเภท

เกียร์ออโต้มีอยู่ด้วยกัน 4 ประเภทดังนี้

  1. เกียร์ออโต้ CVT (Continuously Variable Transmission)

ในปัจจุบันจะใช้เกียร์ออโต้ประเภทนี้มากที่สุด ข้อดีของเกียร์ประเภทนี้อยู่ที่ความนิ่มนวลในการใช้งาน แต่อาจจะไม่ค่อยถูกใจกับผู้ที่ชื่นชอบการขับรถเร็วเพราะเกียร์จะค่อยๆเพิ่มระดับไป ไม่เหมือนกับการเหยียบคันเร่งแล้วรถพุ่งเร็วเลย

  1. เกียร์ออโต้ Torque Converter

ระบบการทำงานคือจะมีการใช้น้ำมันเกียร์ในการส่งถ่ายพลังงานสำหรับการเปลี่ยนเกียร์ ข้อดีคือมีการทำงานที่ง่ายไม่ซับซ้อน มักใช้กับรถเครื่องดีเซล ส่วนข้อเสียคือเกียร์จะมีน้ำหนักมากและสิ้นเปลืองน้ำมัน

  1. เกียร์ออโต้ แบบคลัทช์คู่ DCT (Dual Clutch Transmission)

ความโดดเด่นของเกียร์ประเภทนี้คือให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าใช้เกียร์ธรรมดา ซึ่งมีความนุ่มนวลในการใช้งานแถมมีความรวดเร็วในการขับขี่ แต่ข้อเสียคือเวลาเราเข้าเกียร์ D จะมีความหน่วงและกระตุก

  1. เกียร์กึ่งอัตโนมัติ AMT (Automated Manual Transmissions)

เกียร์ประเภทนี้จะมีการทำงานที่คล้ายคลึงกับเกียร์ธรรมดา ต่างกันเพียงเกียร์ AMT มีการใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์สั่งจับทำการปล่อยครัทช์แทนการเหยียบครัทช์แบบปกตินั่นเอง ข้อดีคือตอบสนองดี มีอัตราเร่งดีเมื่อความเร็วได้ที่ ข้อเสียคือจะตอบสนองช้าเมื่อขับรถโดยใช้อัตราความเร็วต่ำ

เราได้รู้กันมาแล้วว่าเกียร์ออโต้มีอยู่ด้วยกัน  4 ประเภท ทีนี้เรามาเรียนรู้การขับรถเกียร์ออโต้กันดีกว่า จะมีวิธีการอย่างไรนั้นมาศึกษาไปพร้อมกันได้เลย

ขับรถเกียร์ออโต้มีวิธีการดังนี้

  1. ต้องรู้จักสัญลักษณ์เกียร์ออโต้ แต่ละตำแหน่งซะก่อน มีดังนี้

  • เกียร์ P ย่อมาจาก Parking ใช้สำหรับจอดในที่จอดรถหรือลานจอดรถ โดยมันจะล็อกล้อไม่ให้เคลื่อนที่
  • เกียร์ R ย่อมาจาก Reverse เป็นเกียร์ใช้สำหรับให้รถถอยหลัง
  • เกียร์ N ย่อมาจาก Neutral ใช้เวลาจอดชั่วคราว เช่น ติดไฟแดง หรือจะจอดที่ลานจอดรถก็ได้ แต่ล้อรถจะไม่ล็อก
  • เกียร์ D ย่อมาจาก Drive ใช้สำหรับการออกตัวรถ ซึ่งก็คือการขับขี่ทางตรงนั่นเอง
  • เกียร์ D3 ใช้สำหรับต้องการเร่งเครื่องแซงรถคันอื่น หรือต้องการจะเร่งเครื่องขึ้นสะพานและถนนที่มีความชันเล็กน้อย
  • เกียร์ D2 ใช้สำหรับขึ้น-ลง ทางที่ค่อนข้างชัน เช่น ถนนทางขึ้นภูเขา ขับขึ้นลงในลานจอดรถตามห้างสรรพสินค้า
  • เกียร์ D1 หรือ เกียร์ L เป็นเกียร์ใช้สำหรับทางที่สูงชันมากๆ เกียร์นี้จะใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรค เพื่อลดภาระการเหยียบเบรคของเราลง
  1. เทคนิคการใช้เกียร์ P

หากคุณจอดรถในที่ลาดชันพอสมควร แม้การใช้เกียร์ P จะช่วยล็อกล้อไม่ให้เคลื่อนที่แล้ว แต่คุณก็ควรดึงเบรคมือเสริมเพื่อความปลอดภัยสูงสุดเสมอ

  1. เทคนิคการใช้เกียร์ R

เมื่อคุณใช้เกียร์ R รถจะค่อยๆถอยหลังโดยที่คุณไม่ต้องเหยียบคันเร่ง หากคุณเหยียบคันเร่งแรงเกินไปรถอาจพุ่งถอยอย่างรวดเร็วอาจเกิดอันตรายได้

  1. เทคนิคการใช้เกียร์ D

การใช้เกียร์ D คือการขับรถออกตัวไปข้างหน้า คล้ายกับเกียร์ R คือรถจะค่อยๆไหลไปเองโดยไม่ต้องเหยียบคันเร่ง พอคุณเหยียบคันเร่งรถมันก็จะเปลี่ยนเกียร์โดยอัตโนมัติจนไปถึงเกียร์สูงสุด

โดยสรุปแล้วการขับรถเกียร์ออโต้ไม่ได้ยากเลย เพียงแต่คุณต้องจำว่าเกียร์ไหนใช้ทำอะไร และต้องหมั่นฝึกฝนการขับรถบ่อยๆเพื่อเพิ่มความชำนาญในการขับขี่ เราเชื่อว่าไม่นานคุณจะมีความเชี่ยวชาญในการขับอย่างแน่นอน