โรคภูมิแพ้ตัวเอง ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

โรคภูมิแพ้ตัวเอง (SLE) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โรคพุ่มพวง” เป็นโรคที่ยังหาสาเหตุไม่ได้ แต่ก็มีสัญญาณบอกอาการได้หลายอย่าง ซึ่งทุกอาการสามารถเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน หรือเป็นทีละอาการก็ได้ มักจะเป็น ๆ หาย ๆ และความรุนแรงของแต่ละโรคอาจจะไม่เหมือนกัน

โรคภูมิแพ้ตัวเอง คืออะไร

โรคแพ้ภูมิตัวเอง เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ จากที่เคยช่วยให้ร่างกายหายป่วยปราศจากโรค กลับกลายเป็นว่าภูมิคุ้มกันทำลายเนื้อเยื่อของร่างกายจนเกิดอาการอักเสบโดยสามารถสร้างความเสียหายให้กับอวัยวะได้ทั่วทั้งร่างกาย โดยส่วนใหญ่แล้วผู้หญิงมีโอกาสเป็นได้มากกว่าผู้ชาย และยังมีปัจจัยอื่น ๆ สัมพันธ์กับการเกิดโรคได้ เช่น กรรมพันธุ์ สิ่งที่จะไปกระตุ้นให้เกิดโรคนี้ก็อย่างเช่น การติดเชื้อภายในร่างกาย แสงแดด การใช้ยา เป็นต้น ซึ่งหากเป็นแล้วร่างกายจะผลิตโปรตีนที่มีชื่อว่า Antinuclear Antibody ที่ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้ชัดเจน

อาการของ โรคภูมิแพ้ตัวเอง

อาการของโรคนี้สามารถแสดงความปกติในร่างกายได้หลายอย่างแต่ที่พบได้บ่อยก็คือ อ่อนเพลีย, เบื่ออาหาร, ผมร่วง, ปวดข้อตามร่างกาย, เป็นไข้, ผมร่วง,เกล็ดเลือดต่ำ, เม็ดเลือดขาวต่ำ, เลือดจาง บางรายที่มีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเม็ดเลือดแดงแตก ปอดอักเสบ ไตอักเสบ เป็นต้น

ตรวจวินิจฉัย โรคภูมิแพ้ตัวเอง

การตรวจวินิจฉัยโรค ส่วนใหญ่แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติของผู้ป่วย และการตรวจร่างกายห้องปฏิบัติการ เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ การตรวจเอกซเรย์หัวใจและปอด ฯลฯ

การรักษา

โรคนี้ถือเป็นโรคเรื้อรังจึงจำเป็นต้องเข้ารับการตรวจรักษาเป็นประจำ ก็จะทำให้โรคสงบได้ซึ่งแพทย์จะรักษาโดยประเมินจากความรุนแรงของอาการเป็นราย ๆ ไป เพราะแต่ละคนมีความรุนแรงไม่เท่ากันเช่น หากเกิดการอักเสบของร่างกายก็อาจจะพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์หรือยากดภูมิเพื่อคุมโรค เป็นต้น

หากเป็น โรคภูมิแพ้ตัวเอง ควรปฏิบัติตัวอย่างไร

  • หลีกเลี่ยงการเจอแดด เพราะจะกระตุ้นให้ผื่นผิวหนังเพิ่มมากขึ้น
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ และสะอาด
  • อยู่ในสถานที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
  • ทานยาอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อหมอนัดตรวจให้ไปตามนัดอย่าได้ขาด เพราะแพทย์จะประเมินอาการ และรักษาในขั้นตอนต่อไปที่จะทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตตามปกติได้

ถึงแม้จะยังไม่มีวิธีป้องกัน แต่หากมีอาการต่าง ๆ เข้าข่ายว่าจะเป็น โรคภูมิแพ้ตัวเอง ก็ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยรักษาถึงแม้โรคนี้จะรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตแต่ แต่ก็สามารถรักษาได้แต่ต้องใช้เวลานานพอสมควร จึงจำเป็นต้องติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง และปฏิบัติตัวตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด