ปลาร้า หนึ่งในเครื่องปรุงยอดนิยม ที่มีทั้งรสชาติ และกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ที่หลายคนมักจะทานอาหารที่มีส่วนประกอบของปลาร้าในแทบจะทุกมื้ออาหาร จนทำให้หลายคนคิดที่จะทำไว้สำหรับรับประทานเอง แต่การทำจะทำปลาร้าให้อร่อย และนัว ในแบบฉบันของขาวอีสานนั้นก็จำเป็นต้องมีทักษะ และฝีมือกันสักหน่อย ซึ่งแต่ละสูตรก็จะมีส่วนผสม และขั้นตอนการทำที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงรสชาติที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย
ซึ่งปลาร้า ถือว่าเป็นเมนูอาหารท้องถิ่นประจำภาคอีสาน ที่ไม่ว่าจะหันไปดูเมนูไหนก็จะมีส่วนผสมของน้ำปลาร้าเสมอ สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น ต้ม ผัด ยำ หลน และแกงต่างๆ เพียงแค่มีน้ำปลาร้าที่อร่อย ก็จะช่วยเพิ่มรสชาติในมื้ออาหารให้ออกมาเป็นมื้อที่พิเศษได้ และสำหรับใครที่อยากจะทำน้ำปลาร้าเอาไว้ทานเองที่บ้าน วันนี้เราจะมาแนะนำสูตรทำปลาร้า ที่สามารถทำติดครัวไว้ที่บ้าน ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้
สูตรทำปลาร้า ที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน
สำหรับ สูตรทำปลาร้า ที่นำมาให้ดูกันในวันนี้ เป็นสูตรที่นำเอาปลากระดี่มาเป็นส่วนประกอบหลักในการทำ เพราะเป็นปลาที่ไม่มีมัน ทำให้ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน และสามารถเก็บไว้ได้นาน ซึ่งถ้าหากใครที่ไม่สามารถหาปลากระดี่ได้ ก็สามารถหาปลาชนิดอื่นมาเป็นส่วนประกอบหลักแทน ก็สามารถทำได้ แต่อาจจะต้องใช้สัดส่วนของส่วนผสมต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงระยะเวลาในการหมัก แต่การทำสูตรปลาร้าในวันนี้ จะมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
- น้ำปลาที่เตรียมไว้มาตัดหัว ตัดครีบ ขูดเกล็ด เอาเครื่องในออก และล้างน้ำให้สะอาด ให้ไม่มีกลิ่นคาว
- นำเอาเกลือสินเธาว์ ที่มีลักษณะเป็นดอกเหลือมาตำให้พอแหลก ไม่ต้องให้ละเอียดมาก โดยจะนำเกลือดังกล่าวมาไว้ใช้สำหรับการหมัก
- นำเอาข้าวเปลือกที่เตรียมไว้มาคั่วในกระทะ หลังจากที่ได้สี และกลิ่นตามที่ต้องการ ก็ให้นำเอามาปั่นให้มีเนื้อที่ละเอียด
- น้ำเอาเนื้อปลามาคลุกเคล้าให้เข้ากับเกลือ และข้าวคั่วที่เตรียมไว้ คลุกจนกว่าเนื้อจะเข้ากันดี หลังจากนั้นให้นำไปหมักไว้ในภาชนะที่เตรียมไว้ ปิดปากฝาให้แน่น หมักทิ้งไว้เป็นเวลา 2 สัปดาห์
- พอครบกำหนด ก็ให้นำเนื้อปลาออกมา เทน้ำจากเนื้อปลาออกให้หมด แล้วนำมาคลุกเคล้ากับเกลือ และข้าวคั่วอีกรอบ นากนั้นให้ใส่ไว้ในภาชนะที่เตรียมไว้ ปิดฝ่าให้แน่น แล้วหมักทิ้งไว้อีก 2 – 3 เดือน เป็นอันเสร็จสิ้นการทำปลาร้า
หลังจากที่ได้ครบกำหนดในการหมัก ก็จะได้เนื้อปลาร้าที่มีเนื้อดี ลำตัวอ่อนนุ่ม เนื้อเปื่อย และมีกลิ่นหอม ที่สามารถนำไปใช้ประกอบอาหารได้ตามที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการนำไปปรุงกับเมนูอาหารต่างๆ หรือนำไปต้มแล้วมาทำเมนูอาหาร ก็สามารถใช้งานได้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญก็คือการเก็บรักษาหลังจากหมักแล้ว เพราะถ้าหากรักษา และดูแลไม่ดี อาจจะทำให้มีแมลงวัน พยาธิ และสิ่งแปลกปลอมอยู่ภายในได้